กว่าจะมาเป็น....เจดีย์เจดีย์ชเวดากอง



หลังจากที่เราชมความงามโดยรอบ เจดีย์ชเวดากอง ไปแล้วจากบทความก่อนๆ และด้วยความสวยงามที่หาที่ติไม่ได้ของเจดีย์ที่เหลืองอร่ามแห่งนี้ ที่นี่เขาก็มีตำนานเล่าขานถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์กันด้วยนะครับ

สำหรับการเดินทางท่องเที่ยว  ไม่ว่าจะเป็นที่สวยงามที่ไหนก็ตามแต่ ย่อมมีประวัติความเป็นมากันแทบทุกที่นั่นแหละครับ อยู่ที่ว่านักเที่ยวอย่างเราๆท่านๆนั้นจะสนใจกันบ้างหรือเปล่าเท่านั้นเอง  แต่สำหรับเที่ยวพม่าครั้งนี้ ไปชมของดีของประเทศเพื่อนบ้านกันแล้ว  เราก็ไม่พลาดเรื่องของประวัติความเป็นมาของสถานที่เหล่านั้นอย่างเด็ดขาดครับ


ตามตำนาน ที่ทางการพม่าให้ข้อมูลว่า พระเจดีย์ชเวดากองแห่งนี้นั้น ได้เริ่มสร้างเป็นครั้งแรก เมื่อประมาณ 2,595 ปีมาแล้ว ในสมัยที่ย่างกุ้งยังเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อว่าเมืองอสิตันชนะหรืออีกชื่อหนึ่งคือเมืองโอกกะละ นั่นเองครับ โดยมีพ่อค้าชาวมอญ 2 คนชื่อว่าตผุสสะและภัลลิกะได้เดินทางไปค้าขายยังประเทศอินเดีย ทั้งสองได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งกำลังประทับอยู่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ และได้ถวายภัตตาหารแด่พระองค์ด้วย

หลังจากเสวยเสร็จแล้ว พระพุทธเจ้าได้ประทานพระเกศาให้ 8 เส้น เมื่อตผุสสะและภัลลิกะเดินทางกลับ พระราชา         แห่งอเชตตะได้ขอแบ่งพระเกศธาตุไป 2 เส้น พญานาคขอไปอีก 2 เส้น เมื่อเดินทางกลับถึงเมืองอสิตันชนะ พระเจ้าโอกกะละปะก็ได้ทรงประกอบพิธีต้อนรับพระเกศธาตุอย่างยิ่งใหญ่ และได้ทรง คัดเลือกสถานที่บนเขาสิงฆุตตระนอกประตูเมืองอสิตันชนะให้เป็นที่สร้างพระ เจดีย์เพื่อบรรจุพระเกศธาตุนั่นเอง


แต่ขณะที่กำลังทำการขุดดินก่อสร้างนั้น ก็ได้ค้นพบ พระบริโภคเจดีย์ของอดีตพระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆอีก 3 พระองค์ด้วย คือไม้ธารพระกร ภาชนะสำหรับใส่น้ำ และสบง จึงได้บรรจุของทั้งหมดนี้ในพระเจดีย์พร้อมกับพระเกศธาตุด้วย แต่ก่อนที่จะบรรจุ ก็ค้นพบด้วยว่า พระเกศธาตุกลับมี 8 เส้นดังเดิม พระเกศธาตุได้บรรจุไว้ภายในเจดีย์ทอง เงิน ดีบุก ทองแดง ตะกั่ว หินอ่อน และเหล็กตามลำดับ เสร็จแล้วจึงสร้างเจดีย์อิฐสูงประมาณ 66 ฟุตครอบไว้ภายนอก

จากนั้นก็มีการสร้างเจดีย์ครอบองค์เดิมในรัชสมัยของกษัตริย์ต่าง ๆ รวมถึง 7 ครั้งด้วยกัน เจดีย์ชเวดากอง พม่าโดย ในสมัยพระนางเชงสอบูแห่งกรุงหงสาวดีก็ได้ทรงบริจาคทองคำถึง 40 กิโลกรัม ซึ่งเท่ากับน้ำหนักของพระองค์   ในการก่อสร้างพระเจดีย์ที่มีรูปร่างเหมือนใน ปัจจุบันเป็นครั้งแรก ส่วนพระเจ้าธรรมเจดีย์ซึ่งครองราชย์ต่อจากพระนางเชงสอบู ก็ได้บริจาคทองในการก่อสร้างเพิ่มเติมเป็นน้ำหนักเท่ากับน้ำหนักของพระองค์ และพระมเหสีรวมกันด้วย ทั้งยังได้ทรงสร้างจารึกเล่าประวัติของพระเจดีย์ชเวดากองเป็นภาษาพม่า มอญและบาลีไว้อีกด้วย นับว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่มากๆครับ



ปัจจุบันพระเจดีย์มีความสูง 326 ฟุต เส้นรอบวง 1,420 ฟุต สูงกว่าระดับน้ำทะเล 190 ฟุต ประดับด้วยแผ่นทองคำ 4 หมื่นแผ่น รวมน้ำหนักทอง 8 ตัน สำหรับฉัตรซึ่งครอบยอดเจดีย์ ก็มีการซ่อมแซมหรือสร้างขึ้นใหม่มาเป็นระยะๆ ฉัตรเก่าสร้างในสมัยพระเจ้ามินดง ในปี ค.ศ. 1871 สูง 33 ฟุต เส้นผ่าศูนย์กลาง 18 ฟุต ขณะนี้ก็ยังตั้งไว้ให้ประชาชนได้ชมอยู่ ครั้งล่าสุดได้มีการสร้างฉัตรขึ้นใหม่เมื่อ 8 ปีที่ผ่านมานี้เอง โดยประดับเพชรพลอยรวมถึง 4,351 เม็ดรวม น้ำหนัก 2,000 กะรัต เพชรเม็ดใหญ่ที่สุดบนยอดฉัตรมีฐานกว้าง 2 ฟุต ยาว 1 ฟุต 10 นิ้ว และหนัก 76 กะรัต นอกจากนี้ พระเจดีย์ชเวดากองก็ยังมีวัตถุที่มีคุณค่าทางศาสนา ศิลปะ ประวัติศาสตร์และอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ระฆังที่พระเจ้าสิงคุทรงสร้างไว้ (Singhu)

ทรงสร้างไว้เมื่อปีค.ศ. 1778 หล่อด้วยปัญจโลหะ คือทอง เงิน ทองแดง ตะกั่วและสังกะสี สูง 8 ฟุต หนัก 23 ตัน ในปี ค.ศ. 1824 พม่าได้ทำสงครามกับอังกฤษเป็นครั้งแรกและอังกฤษได้ยึดเจดีย์ชเวดากองได้และ ได้ขนทรัพย์สินแก้วแหวนเงินทองไปหลายอย่าง รวมทั้งได้คิดที่จะขนย้ายระฆังใบนี้กลับไปอังกฤษด้วย แต่ระหว่างการเดินทางเรือที่ขนระฆังจมลงที่แม่น้ำย่างกุ้ง ต่อมาพม่าจึงทำการกู้ระฆังใบนี้ด้วยตนเองและนำมาติดตั้งไว้ที่เจดีย์ชเวดา กองได้เช่นเดิม ซึ่งเป็นที่ภาคภูมิใจของประชาชนพม่าโดยทั่วไปมาจนทุกวันนี้ครับ

นอกจากนั้นก็ยังมีพระพุทธรูปสลักจากหยกทั้งก้อน ซึ่งได้มาจากรัฐคะฉิ่นในปีค.ศ. 1999 ในโอกาสที่ได้สร้างฉัตรใหม่ และยังมีต้นพระศรีมหาโพธิ์ซึ่งได้นำเมล็ดมาปลูกจากพุทธคยาเมื่อ 79 ปีก่อน และของมีค่าอื่น ๆ อีกมากมายครับ



จากประวัติศาสตร์ที่แสนยาวนาน จนมาถึงปัจจุบันนี้ เรียกได้ว่ากว่าจะมาเป็นเจดีย์ที่สวยงาม และไม่ได้สวยเพียงอย่างเดียวเท่านั้นนะครับ แถมยังเต็มไปด้วยพลังศรัทธาทางพระพุทธศาสนาอย่างเต็มเปรี่ยมอีกด้วย ทำให้กลายมาเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของชาวพม่าทุกคน รวมถึงนักแสวงบุญชาวพุทธที่เดินทางมาเยือนที่เจดีย์ชเวดากองแห่งนี้  ที่นี่จึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตสำหรับนักเดินทางทั่วสารทิศที่เดินทางมาเพื่อชมความงามของเจดีย์ชเวดากองแห่งนี่นั่นเองครับ


ขอบคุณข้อมูลความรู้ประวัติเจดีย์ชเวดากองจาก kammatan.com ครับ

0 ความคิดเห็น:

เจดีย์อนันดา : พุกาม ประเทศพม่า



พม่า เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีวัฒนธรรม และสถาปัตยกรรมที่สวยงาม รวมถึงมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางมาเยี่ยมชม  เที่ยวพม่าครั้งนี้ก็เดียวกัน ปลายทางของเราอยู่ที่เมืองพุกาม ที่ วัดอนันดา(Ananda temple)  เป็นอีกหนึ่งเจดีย์วัดที่มีความสำคัญและสวยงาม

วัดอนันดา หรือ อนันดากู่พยา แห่งนี้ตั้งอยู่ทางตะวันออกของกำแพงเมือง เป็นวัดสีขาวจะมองเห็นได้ทันทีที่เข้าหมู่บ้านมาจากทางทิศเหนือถือเป็นงานสถาปัตยกรรมแบบมอญที่งดงามมากอีกแห่ง สร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1091 โครงสร้างของวัดอนันดานั้นมีระเบียงทางเดินที่ไม่ซับซ้อน มีซุ้มประตูใหญ่สี่ซุ้มขนาดเท่ากันทุกด้านเปิดจากแนวกึ่งกลางกำแพงไปสู่ห้องคูหากลางวิหาร ด้านบนก่อเป็นแกนทึบสี่เหลี่ยมขึ้นไปรับกับส่วนยอด ที่แกนทึบแต่ละด้านทำรวงเข้าไปเป็นซุ้มพระขนาดใหญ่ ผนังแต่ละด้านยาว 35 เมตร โครงสร้างวิหารมีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ในซุ้มมีพระพุทธรูปยืนประจำหลักสูง 9.5 เมตร ประดิษฐานอยู่ทั้งสี่ซุ้ม แทนองค์พระอดีตพุทธเจ้าทั้งสี่นั่นเองครับ


วัดอนันดาแห่งนี้ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนภูเขา นันทมูล (Nandamula) บนเทือกเขาหิมาลัย อันเนื่องมาจากการจาริกแสวงบุญมายังดินแดนพุกามของพระอรหันต์ 8 รูป

เจดีย์อนันดานี้ยังได้รับการยกย่องว่าเป็นเพชรเม็ดงามแห่งสถาปัตย์ของพุกามอีกด้วย  เพราะถือว่าเป็นสุดยอดพุทธศิลป์สกุลพุกาม   ตัววิหารทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ใหญ่โตสง่างาม  มีมุขเด็จยื่นออกไปทั้งสี่ด้าน  หากดูตามผังลักษณะจะเหมือนกับไม้กางเขนแบบกรีก  ภายในวิหารมีพระพุทธรูปยืนที่แกะสลักด้วยไม้สัก  ประดิษฐานอยู่ทั้งสี่ทิศ  ผลงานฝีมือของช่างพม่าชั้นสูงที่ทำช่องให้แสงส่องสว่างเฉพาะองค์พระพุทธรูปซึ่งพระพักตร์ของพระองค์นั้นมีรอยยิ้มเปี่ยมเมตตา



ด้วยความสวยงามของเจดีย์อนันดา ที่หาที่เปรียบไม่ได้ เมื่อสร้างเสร็จ  พระเจ้าญาณสิทธาเกรงว่าจะมีใครสร้างซ้ำ จึงมีรับสั่งให้ประหารชีวิตนายช่างทั้งหมด  ตามพิธีกรรมของพวกพราหมณ์นั่นเอง
เป็นสถานที่ท่องเที่ยวพม่าที่ถือว่าสุดยอดจริงๆครับ ถ้าพูดไปแล้วก็เท่ากับว่า กว่าจะได้มาเป็นเจดีย์อนันดาที่สวยงามให้นักท่องเที่ยวได้มาชื่นชมนั้น ต้องแลกกับชีวิตช่างที่ฝีมือดี เพื่อให้มีเจดีย์ที่สวยงามและทรงคุณค่าไว้ที่นี่ที่เดียว “วัดอนันดา” พุกาม สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ครับ



0 ความคิดเห็น:

เจดีย์ชเวมอดอร์ (พระธาตุมุเตา) เมืองหงสาวดี ประเทศพม่า



อีกหนึ่งเจดีย์ที่เรานำมาฝากกันในวันนี้สำหรับเพื่อนๆ ที่จะเดินทางไปเที่ยวพม่า ถือได้ว่าเป็นเจดีย์อีกหนึ่งเจดีย์ที่สวยงามไม่แพ้  เจดีย์ชเวดากอง เมืองย่างกุ้ง  กันเลยก็ว่าได้ ด้วยความที่พม่าเป็นประทศที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลาย จึงถูกใจนักเที่ยวอย่างเราๆท่านๆไปไม่น้อย  เจดีย์ที่ว่านี้ก็คือ    เจดีย์ชเวมอดอร์หรือพระธาตุมุเตา เมืองหงสาวดี นั่นเองครับ

เจดีย์ชเวมอดอ ( เจดีย์พระธาตุมุเตา ) คือ เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองที่สำคัญของเมืองหงสาวดี เป็นมหาเจดีย์เก่าแก่ยาวนานกว่า 2,000 ปี ตั้งอยู่กลางเมืองหงสาวดี   พม่าเรียกพระธาตุมุเตาว่า ชเวมอดอครับซึ่ง หมายถึง มหาเจดีย์พระเจ้าทองคำ  เป็นเจดีย์ 1 ใน 5 ของเจดีย์ชื่อดังและมีความยิ่งใหญ่ที่สุดในพม่านั่นเองครับ   ด้วยความที่เป็นเจดีย์ที่โด่งดังจึงมีผู้คนแวะเวียนไปสักการบูชาอย่างไม่ขาดสาย ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ




พระธาตุมุเตามหาพระเจดีย์องค์ที่มีความโดดเด่นเพราะเป็นเจดีย์ที่มีลักษณะแบบมอญ มีฉัตรแบบเรียบๆและมีองค์ระฆังของเจดีย์มีลักษณะแคบเรียว ภายนอกหุ้มด้วยทองจังโก้ ภายในเป็นอิฐกลวง แตกต่างจากเจดีย์ชเวดากองที่เป็นเจดีย์แบบพม่าซึ่งเราจะเห็นได้อย่างชัดเจน  ในส่วนบริเวณรอบๆองค์เจดีย์ ก็มีพระพุทธรูปหลายองค์ให้กราบไหว้ ซึ่งมีลักษณะศีลปะของมอญผสมกับศิลปะของพม่ามีความสวยงามดูแปลกตา มีอาคารตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมของพม่าผสมตะวันตกให้ดู นอกจากนี้ที่ด้านหนึ่งของเจดีย์ก็ยังมีพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ที่เก็บโบราณวัตถุต่างๆให้ชม  พระธาตุมุเตาแห่งนี้ได้กลายเป็น 1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพม่าที่มีผู้คนทั้งคนพม่าและคนไทยเดินทางมาสักการบูชาเป็นจำนวนมาก 

พระธาตุมุเตาเป็นพระธาตุที่สูงที่สุดของพม่าซึ่งมีความสูงถึง 114 เมตร ซึ่งเป็นต้นเหตุของชื่อพระธาตุมุเตา เพราะพระธาตุมุเตาสูงจนต้องแหงนหน้าจนเมื่อยคอ ถึงจะมองเห็นยอดพระธาตุ จึงเป็นเหตุให้แสงแดดที่แรงกล้าเผาจมูกจนแสบร้อน ซึ่งคำว่า จมูกร้อนในภาษามอญเรียกว่า มุเตา นั่นเองครับ



ด้วยความเลื่อมใสและศรัทธาต่อองค์พระธาตุของชาวพม่านั้น ทำให้ชาวพม่าไปกราบไหว้ต่อองค์พระธาตุมุเตาอย่างไม่ขาดสายและสิ่งที่ทุกคนไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งยิ่งใหญ่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2473 จึงทำให้ยอดของพระธาตุมุเตาหักพังลงมา  แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมากก็คือ เมื่อยอดพระธาตุหักลงมาแต่องค์พระธาตุนั้นไม่หักลงถึงพื้น จึงเป็นความเชื่อของประชาชนทั้งชาวพม่าและชาวไทยว่าหากใครได้ไปกราบไหว้องค์พระธาตุแล้วได้เอาไม้ไปค้ำไว้กับยอดพระธาตุที่หักลงมาแล้วเอาหน้าผากไปแตะกับยอดองค์พระธาตุที่หักลงมาจะทำให้ชีวิตของคนคนนั้นไม่ว่าจะถึงช่วงชีวิตที่ตกต่ำยังไงเราก็ยังไม่ตกต่ำถึงที่สุดก็เปรียบเหมือนยอดพระธาตุที่ต่อให้ตกยังไงก็ตกไม่ถึงพื้นและทำให้ชีวิตของคนนั้นมีความมั่นคงถาวรนั่นเองครับ

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวในพม่าที่เพื่อนๆไม่ควรพลาดอย่างเด็ดขาดเลยครับ


ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก sprtour.com

0 ความคิดเห็น:

เที่ยวพม่า ชมพระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง เมืองย่างกุ้ง


พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง ชื่อนี้เพื่อนๆนักเดินทางคงคุ้นหูกันอยู่ไม่น้อย ถึงความงดงาม สีเหลืองอร่าม ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ใจกลางเมืองย่างกุ้ง พระเจดีย์ชเวดากองแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในโลกกันเลยก็ว่าได้  เมื่อมาถึง ย่างกุ้ง สถานที่สวยงามแบบนี้  นักเที่ยวอย่างเราๆยิ่งไม่ควรพลาดอย่างเด็ดขาดครับ
พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาเชียงกุตระ เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า เชื่อกันว่าเป็นมหาเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าจำนวน 8 เส้น เป็น 1 ใน สถานศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวพม่านับถือมากที่สุด  ซึ่งเป็นเจดีคู่บ้านคู่เมืองของชาวพม่ามาราวๆ 2600 ปี ที่ชาวพม่าต้องสักการะให้ได้ครั้งหนึ่งในชีวิต  เพื่อสิริมงคลและเสริมบารมี



การสักการะพระเจดีย์
ทางเข้าพระเจดีย์ชเวดากองมีทั้ง 4 ทิศด้วยกัน แต่ทางเข้าใหญ่คือทางทิศใต้ซึ่งมีสิงห์นั่งสองตัวสูง 30 เมตรเฝ้าทางเข้าอยู่ เมื่อเข้าไปถึงที่ทำการของคณะกรรมการบริหารชเวดากอง ก็จะได้รับการเชื้อเชิญให้เข้าไปในห้องเพื่อถอดรองเท้า  แล้วผู้แทนคณะกรรมการ เจดีย์ฯซึ่งจะทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ก็จะนำเราไปขึ้นลิฟต์ซึ่งจะขึ้นถึงลาน ใหญ่ของพระเจดีย์เลยครับ


ขณะที่ประชาชนต้องขึ้นบันไดเลื่อนไกลหน่อย เมื่อขึ้นไปถึงลาน มัคคุเทศก์ก็จะนำไปที่ศาลาเพื่อจุดธูปเทียนไหว้พระ ถวายดอก ไม้และจตุปัจจัยบำรุงเจดีย์ แล้วเซ็นหนังสือในสมุดเยี่ยม   หลังจาก นั้นก็เดินชมสถานที่สำคัญต่าง ๆ รอบลาน ซึ่งจะมีวิหารใหญ่ 4 เจดีย์ชเวดากอง ตอนกลางคืนทิศ ซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปของพระพุทธเจ้าที่มีมาแล้วทั้ง 4 พระองค์คือ พระกักกุสันโธ พระโกนาคม พระกัสสปะ และพระโคตมะองค์ปัจจุบันให้ประชาชนได้กราบไหว้ทำบุญด้วยรวมถึงการไปตีระฆัง

นอกจากนั้นก็มีการหยุดที่ลานอธิษฐานซึ่งเชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์มาก   และก็ยังมีอีกจุดหนึ่งบนลานซึ่งเขาทำจุดให้ยืนไว้ซึ่งจะทำให้มองเห็นประกาย เพชรบนยอดฉัตรได้ด้วยตาเปล่า ที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งก็คือจะมีพระพุทธรูปและสัตว์สัญลักษณ์ประจำวันเกิด ตั้งอยู่รอบ ๆ ลานเป็นคู่ ๆ ด้วย โดยเชื่อกันว่าการสรงน้ำพระพุทธรูปและสัตว์เหล่านี้ จะสร้างความบริสุทธิ์และความสุขความเจริญแก่ผู้สรงน้ำ โดยจะรดน้ำด้วยขันเล็ก ๆ ที่มีจัดเตรียมไว้ให้เป็นจำนวนเท่าอายุ +1 แต่สำหรับ คนแก่ ๆ ที่อายุ 60-70 ไปแล้วก็อาจจะย่นย่อลง เหลือ 5 ขันก็ได้ ซึ่งหมายถึงพระรัตนะไตรรวมกับบิดามารดานั่นเองครับ สัตว์ประจำวันเกิดของพม่าคือ

วันอาทิตย์ - ครุฑ อยู่ที่ทิศตะวันออกเฉียง เหนือของลานเจดีย์

วันจันทร์ - เสือ อยู่ทิศตะวันออก

วันอังคาร - สิงห์ อยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้

วันพุธ (เช้า) - ช้างงา อยู่ทิศใต้

วันพุธ(กลางคืน) - ช้างไม่มีงา อยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

วันพฤหัสบดี - หนู อยู่ทิศตะวันตก

วันศุกร์ - หนูตะเภา (บางคนเชื่อว่าเป็น กระต่ายหูสั้น) อยู่ทิศเหนือ

วันเสาร์ - พญานาค อยู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้

ที่จริงแล้วก็ยังมีทางขึ้นไปชั้นบนของพระเจดีย์ได้อีกและมีเจดีย์เล็ก ๆ ล้อมรอบบนชั้นต่าง ๆ ถึง 150 องค์ด้วยกัน แต่ทางขึ้นชั้นบนจะเปิดเฉพาะในวันสำคัญจริง ๆ เท่านั้นครับ และจะอนุญาตเฉพาะผู้ชายที่กรรมการวัดเห็นชอบเท่านั้น



มีข้อควรเตือนอีกประการหนึ่งสำหรับผู้ที่ประสงค์จะไปนมัสการพระเจดีย์ชเวดากองก็คือ เนื่องจากทุกคนที่ขึ้นไปจะต้องถอดรองเท้า จึงควรจะไปในเวลาไม่เช้า ๆ ก็เย็น ๆ บ่ายคล้อยแล้ว เพราะพื้นลานล้วนเป็นหินอ่อนและกระเบื้องซึ่งจะร้อนจัดมากทีเดียวในขณะที่มี แดด นอกจากนั้นพระเจดีย์ชเวดากองก็ยังเปิดจนถึง 4 ทุ่มด้วย จะอย่างไรก็ตามถึงแม้ท่านจะต้องขึ้นไปนมัสการพระเจดีย์ชเวดากองในตอนเที่ยงวัน ก็ยังคุ้มค่าเพราะจะได้เห็นสิ่งที่สวยงามมากมาย



ถ้ามองลงไปจากลานพระเจดีย์ชเวดากอง สิ่งที่สะดุดตาก็คือจะเห็นพระเจดีย์ทองรูปทรงใกล้เคียงกับชเวดากองอีกองค์ หนึ่งแต่เล็กกว่าซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลไปนักและควรนำมากล่าวถึงในที่นี้ เจดีย์องค์นี้ก็คือเจดีย์ Naungdawgyi ซึ่งมีความหมายว่าพี่ชาย ตามตำนานกล่าวว่า เป็นสถานที่ซึ่งพระเจ้าโอกกะละปะ และสองพี่น้องคือตปุสสะและภัลลิกะได้นำพระเกศธาตุของพระพุทธเจ้ามาประดิษฐาน ไว้ชั่วคราวในขณะที่กำลังทำการก่อสร้างพระเจดีย์ชเวดากองอยู่ และเมื่อสร้างเสร็จแล้ว ก็ได้ใช้ช้างในพิธีอัญเชิญพระเกศธาตุจากเจดีย์ Naungdawgyi ไปประดิษฐาน ณ พระเจดีย์ชเวดากองเป็นการถาวรสืบต่อมา แต่เดิมยังมีทางเชื่อมระหว่างพระเจดีย์ทั้งสองนี้ แต่ปัจจุบันได้ปิดทางเชื่อมดังกล่าวไปแล้ว

สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวพม่าที่เจดีย์ชเวดากองแห่งนี้  ต้องเสียค่าเข้าชมอยู่ที่คนล่ะ 5000 จ๊าด   ก็ประมาณคนล่ะ 5 ดอล์ล่าร์ (ไม่รับเงินไทยนะครับ)  ส่วนการเข้าชมนั้นมีข้อห้ามอยู่นิดหน่อย คือ  ไม่ให้ใส่กระโปรงหรือกางเกงขาสั้นเหนือเข่าและต้องถอดรองเท้า ถุงเท้า (ถ้าใส่ถุงน่องก็ให้ถอดออก)  มีเพียงเท้าเปล่าเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เดินเข้าสู่เขตองค์พระเจดีย์





เจดีย์ชเวดากองนั้นสวยงามเกินบรรยายจริงๆครับ ความงดงามเช่นนี้เองที่เป็นต้นตอของเสียงลือเสียงเล่าอ้าง จากคนที่เคยมาสักการะเจดีย์ชเวดากองที่ว่า  มองไปทางไหนก็มีแต่สีทองไปหมด...


1 ความคิดเห็น:

LIKE US ON FACEBOOK