กว่าจะมาเป็น....เจดีย์เจดีย์ชเวดากอง
หลังจากที่เราชมความงามโดยรอบ เจดีย์ชเวดากอง ไปแล้วจากบทความก่อนๆ
และด้วยความสวยงามที่หาที่ติไม่ได้ของเจดีย์ที่เหลืองอร่ามแห่งนี้
ที่นี่เขาก็มีตำนานเล่าขานถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์กันด้วยนะครับ
สำหรับการเดินทางท่องเที่ยว
ไม่ว่าจะเป็นที่สวยงามที่ไหนก็ตามแต่
ย่อมมีประวัติความเป็นมากันแทบทุกที่นั่นแหละครับ
อยู่ที่ว่านักเที่ยวอย่างเราๆท่านๆนั้นจะสนใจกันบ้างหรือเปล่าเท่านั้นเอง แต่สำหรับเที่ยวพม่าครั้งนี้
ไปชมของดีของประเทศเพื่อนบ้านกันแล้ว
เราก็ไม่พลาดเรื่องของประวัติความเป็นมาของสถานที่เหล่านั้นอย่างเด็ดขาดครับ
ตามตำนาน ที่ทางการพม่าให้ข้อมูลว่า พระเจดีย์ชเวดากองแห่งนี้นั้น ได้เริ่มสร้างเป็นครั้งแรก
เมื่อประมาณ 2,595 ปีมาแล้ว ในสมัยที่ย่างกุ้งยังเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ
ที่ชื่อว่าเมืองอสิตันชนะหรืออีกชื่อหนึ่งคือเมืองโอกกะละ นั่นเองครับ โดยมีพ่อค้าชาวมอญ
2 คนชื่อว่าตผุสสะและภัลลิกะได้เดินทางไปค้าขายยังประเทศอินเดีย
ทั้งสองได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งกำลังประทับอยู่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์
และได้ถวายภัตตาหารแด่พระองค์ด้วย
หลังจากเสวยเสร็จแล้ว พระพุทธเจ้าได้ประทานพระเกศาให้ 8 เส้น
เมื่อตผุสสะและภัลลิกะเดินทางกลับ พระราชา
แห่งอเชตตะได้ขอแบ่งพระเกศธาตุไป 2 เส้น พญานาคขอไปอีก 2 เส้น
เมื่อเดินทางกลับถึงเมืองอสิตันชนะ พระเจ้าโอกกะละปะก็ได้ทรงประกอบพิธีต้อนรับพระเกศธาตุอย่างยิ่งใหญ่
และได้ทรง คัดเลือกสถานที่บนเขาสิงฆุตตระนอกประตูเมืองอสิตันชนะให้เป็นที่สร้างพระ
เจดีย์เพื่อบรรจุพระเกศธาตุนั่นเอง
แต่ขณะที่กำลังทำการขุดดินก่อสร้างนั้น ก็ได้ค้นพบ พระบริโภคเจดีย์ของอดีตพระพุทธเจ้าองค์อื่น
ๆอีก 3 พระองค์ด้วย คือไม้ธารพระกร ภาชนะสำหรับใส่น้ำ และสบง
จึงได้บรรจุของทั้งหมดนี้ในพระเจดีย์พร้อมกับพระเกศธาตุด้วย แต่ก่อนที่จะบรรจุ
ก็ค้นพบด้วยว่า พระเกศธาตุกลับมี 8 เส้นดังเดิม พระเกศธาตุได้บรรจุไว้ภายในเจดีย์ทอง
เงิน ดีบุก ทองแดง ตะกั่ว หินอ่อน และเหล็กตามลำดับ เสร็จแล้วจึงสร้างเจดีย์อิฐสูงประมาณ
66 ฟุตครอบไว้ภายนอก
จากนั้นก็มีการสร้างเจดีย์ครอบองค์เดิมในรัชสมัยของกษัตริย์ต่าง ๆ
รวมถึง 7 ครั้งด้วยกัน เจดีย์ชเวดากอง พม่าโดย
ในสมัยพระนางเชงสอบูแห่งกรุงหงสาวดีก็ได้ทรงบริจาคทองคำถึง 40 กิโลกรัม
ซึ่งเท่ากับน้ำหนักของพระองค์ ในการก่อสร้างพระเจดีย์ที่มีรูปร่างเหมือนใน
ปัจจุบันเป็นครั้งแรก ส่วนพระเจ้าธรรมเจดีย์ซึ่งครองราชย์ต่อจากพระนางเชงสอบู
ก็ได้บริจาคทองในการก่อสร้างเพิ่มเติมเป็นน้ำหนักเท่ากับน้ำหนักของพระองค์
และพระมเหสีรวมกันด้วย ทั้งยังได้ทรงสร้างจารึกเล่าประวัติของพระเจดีย์ชเวดากองเป็นภาษาพม่า
มอญและบาลีไว้อีกด้วย นับว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่มากๆครับ
ปัจจุบันพระเจดีย์มีความสูง 326 ฟุต เส้นรอบวง
1,420 ฟุต สูงกว่าระดับน้ำทะเล 190 ฟุต ประดับด้วยแผ่นทองคำ 4 หมื่นแผ่น
รวมน้ำหนักทอง 8 ตัน สำหรับฉัตรซึ่งครอบยอดเจดีย์ ก็มีการซ่อมแซมหรือสร้างขึ้นใหม่มาเป็นระยะๆ
ฉัตรเก่าสร้างในสมัยพระเจ้ามินดง ในปี ค.ศ. 1871 สูง 33
ฟุต
เส้นผ่าศูนย์กลาง 18 ฟุต ขณะนี้ก็ยังตั้งไว้ให้ประชาชนได้ชมอยู่
ครั้งล่าสุดได้มีการสร้างฉัตรขึ้นใหม่เมื่อ 8 ปีที่ผ่านมานี้เอง
โดยประดับเพชรพลอยรวมถึง 4,351 เม็ดรวม น้ำหนัก 2,000 กะรัต
เพชรเม็ดใหญ่ที่สุดบนยอดฉัตรมีฐานกว้าง 2 ฟุต ยาว 1 ฟุต 10
นิ้ว
และหนัก 76 กะรัต นอกจากนี้ พระเจดีย์ชเวดากองก็ยังมีวัตถุที่มีคุณค่าทางศาสนา
ศิลปะ ประวัติศาสตร์และอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ระฆังที่พระเจ้าสิงคุทรงสร้างไว้ (Singhu)
ทรงสร้างไว้เมื่อปีค.ศ. 1778 หล่อด้วยปัญจโลหะ คือทอง เงิน ทองแดง
ตะกั่วและสังกะสี สูง 8 ฟุต หนัก 23 ตัน ในปี ค.ศ. 1824 พม่าได้ทำสงครามกับอังกฤษเป็นครั้งแรกและอังกฤษได้ยึดเจดีย์ชเวดากองได้และ
ได้ขนทรัพย์สินแก้วแหวนเงินทองไปหลายอย่าง รวมทั้งได้คิดที่จะขนย้ายระฆังใบนี้กลับไปอังกฤษด้วย
แต่ระหว่างการเดินทางเรือที่ขนระฆังจมลงที่แม่น้ำย่างกุ้ง
ต่อมาพม่าจึงทำการกู้ระฆังใบนี้ด้วยตนเองและนำมาติดตั้งไว้ที่เจดีย์ชเวดา
กองได้เช่นเดิม ซึ่งเป็นที่ภาคภูมิใจของประชาชนพม่าโดยทั่วไปมาจนทุกวันนี้ครับ
นอกจากนั้นก็ยังมีพระพุทธรูปสลักจากหยกทั้งก้อน
ซึ่งได้มาจากรัฐคะฉิ่นในปีค.ศ. 1999 ในโอกาสที่ได้สร้างฉัตรใหม่
และยังมีต้นพระศรีมหาโพธิ์ซึ่งได้นำเมล็ดมาปลูกจากพุทธคยาเมื่อ 79 ปีก่อน
และของมีค่าอื่น ๆ อีกมากมายครับ
จากประวัติศาสตร์ที่แสนยาวนาน จนมาถึงปัจจุบันนี้
เรียกได้ว่ากว่าจะมาเป็นเจดีย์ที่สวยงาม
และไม่ได้สวยเพียงอย่างเดียวเท่านั้นนะครับ
แถมยังเต็มไปด้วยพลังศรัทธาทางพระพุทธศาสนาอย่างเต็มเปรี่ยมอีกด้วย
ทำให้กลายมาเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของชาวพม่าทุกคน
รวมถึงนักแสวงบุญชาวพุทธที่เดินทางมาเยือนที่เจดีย์ชเวดากองแห่งนี้ ที่นี่จึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตสำหรับนักเดินทางทั่วสารทิศที่เดินทางมาเพื่อชมความงามของเจดีย์ชเวดากองแห่งนี่นั่นเองครับ
ขอบคุณข้อมูลความรู้ประวัติเจดีย์ชเวดากองจาก kammatan.com
ครับ
0 ความคิดเห็น: