เที่ยวพม่า...สัมผัสดินแดนแห่งมนต์เสน่ห์

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หงสาวดี แสดงบทความทั้งหมด

พระเจดีย์ไจปุ่น (Kyaikpun Pagoda)



แหล่งท่องเที่ยวเมืองหงสาวดี นอกจาก  พระราชวังบุเรงนอง เจดีย์ชเวมอดอร์  พระพุทธไสยาสน์ เฉว่ตาเหลียว(พระนอนเมืองหงสา) แล้ว สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองหงสาวดี  ประเทศเมียนมาร์นั้น  ยังมีที่ท่องเที่ยวทางศาสนาอีกหนึ่งแห่ง  ที่เพื่อนๆนักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดอย่างเด็ดขาดครับ ไม่ว่าเพื่อนๆจะเดินทางมาด้วยตัวเองหรือเดินทางมากับทัวร์ท่องเที่ยว ที่นี่เป็นอีกจุดหนึ่งที่พวกทัวร์ทั้งหลายจะพาเรามาครับ

เที่ยวเมียนมาร์ครั้งนี้ก็ขอแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวแห่งเมืองหงสาวดีอีกหนึ่งแห่งครับ “เจดีย์ใจ๊ปุ่น” หรือ พระสี่ทิศ นั่นเองครับ

ก็อย่างที่เล่ากันมาตลอดครับว่า เมียนมาร์ นั้นเป็นประเทศที่ยึดมั่นในพระพุทธศาสนา เมื่อมาเที่ยวที่นี่เราจึงเห็นแต่สถานที่ท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับทางพระพุทธศาสนานั่นเองครับ และที่นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจไม่น้อยเลยครับ ที่จะมาเล่าสู่เพื่อนๆฟัง






วัดเจดีย์ไจ๊ปุ่น หรือ พระเจดีย์ไจปุ่น(Kyaikpun Pagoda) นั้นมีอายุนาว 500 กว่าปี เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ 4 องค์หันพระพักตร์ไปทุกทิศทาง เหตุผลที่ต้องสร้างหันไปทุกทิศนั้นก็  เพราะแทนความหมายถึงพระพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์ในภัทรกัปนั่นเองครับ

ซึ่งก็มีตำนานที่เล่าขานกันมาดังนี้ครับ






"  พระราชธิดาทั้งสี่องค์ของกษัตริย์มอญ ที่อุทิศตนแด่พุทธศาสนา  สร้างพระพุทธรูปแทนตนเองและได้สาบานไว้ว่าจะไม่ข้องแวะกับบุรุษเพศ ต่อมาน้องสาวคนสุดท้อง กลับพบรักกับชายหนุ่มและแต่งงานกัน จึงเกิดอาเพศฟ้าผ่าพระพุทธรูปที่แทนตัวของน้องสาวคนสุดท้องพังทลายลงมา จนต้องมีการสร้างขึ้นมาใหม่ตามที่เห็นในปัจจุบันครับ โดยพระพุทธรูปองค์นี้จะมีลักษณะแตกต่างจากองค์อื่น ๆ คือ จะเป็นศิลปะแบบพม่า ถ้าเพื่อนๆลองสังเกต พระพุทธรูปองค์นี้ พระพักตร์จะเศร้ากว่าองค์อื่นครับ "





"ไจ๊" คือ พระ หรือ เจดีย์   "ปุ่น" คือ 4

ดังนั้น พระเจดีย์จุ่น คือ พระเจดีย์ที่มีพระ 4 ทิศ โดยพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ 4 องค์ อายุกว่า 500 ปี หันพระพักตร์ไปยัง 4 ทิศ สร้างขึ้นโดย 4 สาวพี่น้อง ที่อุทิศตนแด่พุทธศาสนา จึงสร้างพระพุทธรูปเพื่อแทนตนเอง และได้สาบานไว้ว่าจะไม่ข้องแวะกับบุรุษเพศนั่นเองครับ
เมื่อมีการบูรณะวัดนี้ เมื่อ พ.ศ.2019 พระเจดีย์แห่งนี้ มีพระพุทธรูปปางประทับนั่งโดยรอบทั้ง 4 ทิศ อันได้แก่ 

สมเด็จพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า หันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ

พระ พุทธเจ้าโกนาคมโน หันพระพักตร์ไปทางทิศใต้ 

พระพุทธเจ้ากกุสันโธ หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก

พระ พุทธเจ้ามหากัสสปะ หันพระพักตร์ไป ในทิศตะวันตก 


ด้วยความที่ว่าเป็นพุทธสถานที่สร้างโดยผู้หญิง ทำให้รายละเอียดต่าง ๆ ดูอ่อนช้อย งดงามและยิ่งใหญ่จริงๆครับ ถึงขนาดประตูทางเข้าของที่นี่ ก็ยังเป็นสีชมพูสวยงามครับ


* การเข้าเยี่ยมชมศาสนสถานของประเทศพม่า ทุกคนต้องเดินเท้าเปล่า คือ จะต้องถอดรองเท้า ถุงเท้า และเดินเท้าเปล่า เข้าไปกราบไหว้บูชาเท่านั้น ซึ่งจะเป็นอย่างนี้ทุกแห่งครับ





ขอบคุณข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับเจดีย์ไจปุ่นจาก oceansmile.com ครับ
Learn more »

พระนอน เมืองหงสาวดี พระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียว




อีกหนึ่งความน่าสนใจในเมืองหงสาวดี ประเทศพม่า ที่อยากแนะนำเพื่อนๆ นักเที่ยวกันในวันนี้  คือ พระนอนที่งามที่สุดในประเทศพม่านั่นเองครับ พระนอนที่สวยงามที่สุด อยู่ที่นี่ครับ หงสาวดี
ก่อนที่เราจะไปดู พระนอนที่สวยที่สุดกัน ขอเล่าเรื่องเมืองหงสาวดีกันหน่อยครับ

"หงสาวดีที่เราชาวไทยรู้จักกันดี ฝรั่งรู้จักกันในนาม "Bago" ครับ ออกเสียงตามพม่าว่า "หานตาวดี " ( อังกฤษ : Bago, Pegu) เมืองหลวงที่เคยรุ่งเรืองถึงขีดสุดในอดีตของชนชาติพม่า ปัจจุบันกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญของพม่าไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น  พระธาตุชเวมอดอร์ (ไจท์มุเตา)  พระราชวังบุเรงนอง และสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆมากมาย  เมืองหงสาวดี แห่งนี้แสดงถึงความเรียบง่าย คล้ายๆ เมืองไทยเราในอดีตครับ ได้บรรยากาศแบบย้อนยุคไปอีกแบบครับ



เข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับ

พระนอน เมืองหงสาวดี พระพุทธไสยาสน์เฉว่ตาเหลียว (Shew Thalyang Budda) เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองหงสาวดีที่น่าสนใจ และน่ามาเยือนมากครับ




พระพุทธไสยาสน์เฉว่ตาเหลียว (พระร่วมสมัยกับปราสาทบันทายสรี ของกัมพูชา) ก็อย่างที่บอกครับว่า เป็นพระนอนที่สวยงามที่สุดในพม่า องค์พระมีความยาว 55 เมตร สูง 16 เมตร ถึงแม้จะไม่ใหญ่เท่าพระพุทธไสยาสน์เจ้าทัตจีที่ย่างกุ้งเท่าไหร่ แต่ความงามนั้นสวยงามกว่า โดยพระบาทนั้นจะวางเหลื่อมพระบาทครับ  ซึ่งจะเป็นลักษณะที่ไม่เหมือนกับพระนอนของไทยเรา แต่เป็นศิลปะที่สวยงามอีกแบบที่น่าสนใจครับ  พระนอนชเวตาเลียว นับเป็นพุทธบูชาศักดิ์สิทธิ์ เป็นอันดับสองรองจาก พระธาตุชเวมอดอร์ (ไจท์มุเตาของเมืองหงสาวดีครับ

ว่ากันตามตำนานแล้ว มีเรื่องราวเล่าขานของพระนอนชเวตาเลียว ถูกบันทึกเป็นภาพเขียนไว้ด้านหลังองค์พระ กันมาว่า

"มีพระราชาองค์หนึ่งไม่ศรัทธาพุทธศาสนา ทรงลุ่มหลงลัทธิบูชายักษ์มาก จนถึงขั้นสร้างรูปปั้นยักษ์ไว้เพื่อกราบไหว้บูชา วันหนึ่งขณะราชาเสด็จประพาสป่า พร้อมพระโอรส และพระโอรสไปพบสาวชาวบ้าน เกิดความรักใคร จึงได้พากลับมาอยู่ด้วยกันที่วัง  แต่หญิงสาวชาวบ้านคนดังกล่าว นับถือศาสนาพุทธจึงอัญเชิญพระพุทธรูปเข้าไปบูชาในวังด้วย ทำให้พระราชาทรงกริ้วมาก จึงสั่งให้ทหารจับพระโอรส และคนรักมัดรวมกันเพื่อจะประหาร แต่พอชาวบ้านผู้เลื่อมใสในพุทธศาสนารู้ จึงพากันตั้งจิตอธิฐานว่าถ้าพระพุทธเจ้ามีจริงขอให้พระโอรส และคนรักแคล้วคลาด จนเกิดเรื่องอัศจรรย์เชือกขาด และเกิดเหตุรูปปั้นยักษ์แตกกระจาย พระราชาเห็นปาฏิหารย์ จึงหันมานับถือพระพุทธศาสนา และขอไถ่บาปด้วยการสร้างพระพุทธไสยาสน์ "ชเวตาเลียวไว้เป็นเครื่องเตือนสติ และเป็นที่สักการะบูชาของชาวเมืองนั่นเองครับ

ที่วัดพระนอน "ชเวตาเลียว" แห่งนี้ ยังมีตลาด สำหรับเป็นทางเลือกให้กับนักช้อป นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาสัการะบูชา พระพุทธไสยาสน์  ให้ได้ช้อปกัน  โดยเฉพาะงานไม้เกาะสลักต่างๆ เสื้อผ้า โสร่งหญิงชาย งานหยก แป้งทานาคา และอื่นๆ มากมายครับ 


ตลาดแห่งนี้ ตั้งอยู่บริเวณทางขึ้น พระนอน"ชเวตาเลียว" ครับ เมื่อไปนมัสการพระเสร็จลงมาก็เจอตลาดเรียงรายอยู่สองฝั่งทางครับ





Learn more »

ชมพระราชวังบุเรงนอง ของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ แห่งเมืองหงสาวดี



ที่เที่ยวพม่า ที่เรานำมาแนะนำกันในวันนี้ บอกไว้เลยครับว่า เราจะนำเพื่อนๆไปเหยียบวังกษัตริย์กันครับ


อ้าว..ชักจะยังไงๆกันแล้ว...

ห่างจากย่างกุ้งไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ราว 250 กิโลเมตร คือ เมืองหงสาวดี หรือแบ่โก ครับ สถานที่ท่องเที่ยวที่เราจะไปกัน อยู่ที่เมืองนี้นั่นเองครับ

หากพูดถึง กษัตริย์ ที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเมืองหงสาวดีและชาวพม่าแล้วก็เห็นจะไม่มีกษัตริย์พระองค์ไหนโดดเด่นไปกว่า  พระเจ้าบุเรงนอง นั่นเองครับ  หรือที่คนไทยรู้จักในดีจากวรรณกรรมเรื่องผู้ชนะสิบทิศ นั่นเอง นั่นก็เพราะเป็นกษัตริย์ผู้สร้างเมืองหงสาวดีให้เจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากนั่นเองครับ โดยพระองค์ได้สร้างพระราชวังบุเรงนองขึ้นในปี พ.ศ. 2109 เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางทางการปกครองและใช้ออกว่าราชการครับ

จุดหมายปลายทางของเราอยู่ที่ พระราชวังบุเรงนอง เมืองหงสาวดี นั่นเองครับ


ตามเรื่องเล่าครับ.....พระเจ้าบุเรงนองนั้นได้สร้างเมืองหงสาวดีให้มีป้อมปราการเป็นมหานครกว้างขวาง ส่วนพระราชวังนั้นตั้งอยู่ตรงกลางเมือง มีประตูซุ้มยอดด้านละ 3 ประตูครับ ให้เรียกตามชื่อเมืองประเทศราชที่ถูกเกณฑ์คนไปทำการ 

ถ้าพูดไปตามประวัติศาสตร์แล้ว เห็นทีจะไม่จบครับ เอาเป็นว่าเดี๋ยวเราจะเล่าคราวๆ เอาเนื้อๆไม่เน้นน้ำครับ

พระเจ้าบุเรงนองนั้น พระองค์ได้สร้างพระราชวังบุเรงนองขึ้นในปี พ.ศ. 2109 ครับ เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางทางการปกครองและใช้ออกว่าราชการ ปี พ.ศ. 2142  (อย่างที่บอกไป) ในสมัยพระเจ้านันทบุเรง พระราชวังบุเรงนองได้ถูกทำลายด้วยฝีมือของพวกยะไข่กับตองอูครับ ทิ้งให้พระราชวังแห่งนี้รกร้างลงเป็นเวลาร่วม 3 ศตวรรษ ถือว่านานมากครับ ซึ่งพระราชวังเดิมนั้นเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเราด้วยครับ เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์และถูกจับเป็นตัวประกัน

ต่อในปี พ.ศ. 2533 มีการค้นพบเสาและกำแพงเดิมที่ถูกฝังอยู่ในดิน รัฐบาลพม่าจึงได้ทำการขุดค้นและสร้างพระราชวังบุเรงนองขึ้นมาใหม่เพื่อจัดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว โดยถอดแบบจากของเดิมครับ ที่เห็นสวยๆอย่างนี้ เขาสร้างใหม่นะครับ

ซึ่งบางส่วนนั้นได้สร้างแล้วเสร็จไป ส่วนอีกบางส่วนก็กำลังรอทุนในการก่อสร้างอยู่ โดยส่วนที่สร้างเสร็จและเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมก็มี พระตำหนักที่ประทับบรรทมสีทองเหลืองอร่าม ที่ดูโดดเด่นชวนมองในรูปแบบสถาปัตยกรรมพม่าครับ และท้องพระโรงที่ใช้ออกว่าการ ก็ดูโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมพม่าสีทองเหลืองอร่ามทั้งภายนอกและภายใน




ซึ่งในอนาคต ที่นี่จะใช้เป็นสถานที่จัดแสดงเกี่ยวกับประวัติเมืองหงสาวดีและพระราชวังบุเรงนองอันสำคัญครับ ในขณะที่ปัจจุบันเป็นโถงโล่งๆมีราชรถจำลอง โมเดลของพระราชวัง และบานประตูไม้สักขนาดใหญ่ของพระราชวังเดิมครับที่วางไว้ให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาได้ชมกันครับ


พระราชวังบุเรงนองวันนี้ ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่บนที่เดิมแล้ว หลังจากที่ได้มีการขุดค้นและพิสูจน์แล้วว่าเคยเป็นวังเก่าจริง  โดยที่วังเดิมนั้นบันทึกไว้ว่าสร้างโดยใช้ไม้สักทองและตกแต่งด้วยของที่มีค่าจากหัวเมืองประเทศราชต่างๆ ที่เป็นเมืองขึ้นในสมัยของพระเจ้าบุเรงนอง รวมทั้งมีชื่อเรียกสถานที่สำคัญต่างๆภายในตัวเมือง เช่นทางทิศเหนือมีประตูโยเดีย หรืออยุธยา 



เมื่อเพื่อนๆได้เดินสำรวจดูโดยรอบแล้ว จะคิดเหมือนกันครับว่า น่าเสียดายยิ่งนักที่พม่า ไม่สนับสนุนในการที่จะสร้างต่อเพื่อทำประวัติศาสตร์ให้กลับมาเล่าเรื่องอย่างมีชีวิตครับ เราจึงได้เห็นสถานที่สำคัญที่หลงเหลืออยู่เพียงเท่าที่เห็นครับ  



แต่กระนั้นที่นี่ก็ยังมีความสวยงาม  โดดเด่น เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่ไม่ควรพลาดอีกหนึ่งแห่งครับ  มาเที่ยวเมืองหงสาวดีทั้งที แวะมาที่นี่ก็ถือว่าไม่ผิดหวังอย่างแน่นอนครับ  
Learn more »

เจดีย์ชเวมอดอร์ (พระธาตุมุเตา) เมืองหงสาวดี ประเทศพม่า



อีกหนึ่งเจดีย์ที่เรานำมาฝากกันในวันนี้สำหรับเพื่อนๆ ที่จะเดินทางไปเที่ยวพม่า ถือได้ว่าเป็นเจดีย์อีกหนึ่งเจดีย์ที่สวยงามไม่แพ้  เจดีย์ชเวดากอง เมืองย่างกุ้ง  กันเลยก็ว่าได้ ด้วยความที่พม่าเป็นประทศที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลาย จึงถูกใจนักเที่ยวอย่างเราๆท่านๆไปไม่น้อย  เจดีย์ที่ว่านี้ก็คือ    เจดีย์ชเวมอดอร์หรือพระธาตุมุเตา เมืองหงสาวดี นั่นเองครับ

เจดีย์ชเวมอดอ ( เจดีย์พระธาตุมุเตา ) คือ เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองที่สำคัญของเมืองหงสาวดี เป็นมหาเจดีย์เก่าแก่ยาวนานกว่า 2,000 ปี ตั้งอยู่กลางเมืองหงสาวดี   พม่าเรียกพระธาตุมุเตาว่า ชเวมอดอครับซึ่ง หมายถึง มหาเจดีย์พระเจ้าทองคำ  เป็นเจดีย์ 1 ใน 5 ของเจดีย์ชื่อดังและมีความยิ่งใหญ่ที่สุดในพม่านั่นเองครับ   ด้วยความที่เป็นเจดีย์ที่โด่งดังจึงมีผู้คนแวะเวียนไปสักการบูชาอย่างไม่ขาดสาย ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ




พระธาตุมุเตามหาพระเจดีย์องค์ที่มีความโดดเด่นเพราะเป็นเจดีย์ที่มีลักษณะแบบมอญ มีฉัตรแบบเรียบๆและมีองค์ระฆังของเจดีย์มีลักษณะแคบเรียว ภายนอกหุ้มด้วยทองจังโก้ ภายในเป็นอิฐกลวง แตกต่างจากเจดีย์ชเวดากองที่เป็นเจดีย์แบบพม่าซึ่งเราจะเห็นได้อย่างชัดเจน  ในส่วนบริเวณรอบๆองค์เจดีย์ ก็มีพระพุทธรูปหลายองค์ให้กราบไหว้ ซึ่งมีลักษณะศีลปะของมอญผสมกับศิลปะของพม่ามีความสวยงามดูแปลกตา มีอาคารตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมของพม่าผสมตะวันตกให้ดู นอกจากนี้ที่ด้านหนึ่งของเจดีย์ก็ยังมีพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ที่เก็บโบราณวัตถุต่างๆให้ชม  พระธาตุมุเตาแห่งนี้ได้กลายเป็น 1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพม่าที่มีผู้คนทั้งคนพม่าและคนไทยเดินทางมาสักการบูชาเป็นจำนวนมาก 

พระธาตุมุเตาเป็นพระธาตุที่สูงที่สุดของพม่าซึ่งมีความสูงถึง 114 เมตร ซึ่งเป็นต้นเหตุของชื่อพระธาตุมุเตา เพราะพระธาตุมุเตาสูงจนต้องแหงนหน้าจนเมื่อยคอ ถึงจะมองเห็นยอดพระธาตุ จึงเป็นเหตุให้แสงแดดที่แรงกล้าเผาจมูกจนแสบร้อน ซึ่งคำว่า จมูกร้อนในภาษามอญเรียกว่า มุเตา นั่นเองครับ



ด้วยความเลื่อมใสและศรัทธาต่อองค์พระธาตุของชาวพม่านั้น ทำให้ชาวพม่าไปกราบไหว้ต่อองค์พระธาตุมุเตาอย่างไม่ขาดสายและสิ่งที่ทุกคนไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งยิ่งใหญ่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2473 จึงทำให้ยอดของพระธาตุมุเตาหักพังลงมา  แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมากก็คือ เมื่อยอดพระธาตุหักลงมาแต่องค์พระธาตุนั้นไม่หักลงถึงพื้น จึงเป็นความเชื่อของประชาชนทั้งชาวพม่าและชาวไทยว่าหากใครได้ไปกราบไหว้องค์พระธาตุแล้วได้เอาไม้ไปค้ำไว้กับยอดพระธาตุที่หักลงมาแล้วเอาหน้าผากไปแตะกับยอดองค์พระธาตุที่หักลงมาจะทำให้ชีวิตของคนคนนั้นไม่ว่าจะถึงช่วงชีวิตที่ตกต่ำยังไงเราก็ยังไม่ตกต่ำถึงที่สุดก็เปรียบเหมือนยอดพระธาตุที่ต่อให้ตกยังไงก็ตกไม่ถึงพื้นและทำให้ชีวิตของคนนั้นมีความมั่นคงถาวรนั่นเองครับ

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวในพม่าที่เพื่อนๆไม่ควรพลาดอย่างเด็ดขาดเลยครับ


ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก sprtour.com
Learn more »

LIKE US ON FACEBOOK